วันพุธที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2553

เขาค้อ - ภูทับเบิก 2553 (ตอนที่ 3)




ตื่นเช้ามาอากาศแอบร้อน หรือเต้นท์อบอุ่นเกินไปก็ไม่แน่ใจ แต่ยังมีความเย็นอยู่ เราพับเต้นท์เก็บข้าวของจรลีออกจากเนินสวรรค์ เอ้ย ภูสวรรค์
ตรงไปยังภูหินร่องกล้า เข้าไปในอช. เพื่อดูแผนที่ (จริงๆ ผ่านจุดท่องเที่ยวไปแล้วแต่ไม่รู้) แวะเข้าไปดูสไลด์ ดูแผนที่ แล้วตรงกลับมายังจุดท่องเที่ยว ลานหินปุ่ม ผาชูธง
เดินกันตับแล่บ กว่าจะถึงลานหินปุ่ม และผาชูธง ชื่นชมธรรมชาติ ตัวดำกันเป็นที่ชื่นใจแล้วก็กลับมาที่รถ เพื่อเดินทางกลับไปไร่บีเอ็น ทางเขาค้อ
แวะกินมื้อเที่ยงที่ร้านขนมจีนหล่มเก่าริมทางไปเขาค้อ ดีใจมากที่จะได้กินเพราะที่ผ่านมาหนมจีนหมดทุกร้าน มาร้านนี้ เพิ่งสั่งกินกันไปยังไม่ทันอิ่ม ของก็หมดอีกเช่นกัน -..-
เรียบร้อยแล้วก็ไปไร่บีเอ็น ของขายก็หมดไปเยอะแล้วเหมือนกัน ไม่น่าเชื่อว่าวันหยุดวันพ่อจะทำให้อะไรๆ ก็หมด
ทั้งที่คราวสุดท้ายที่มาเมื่อหลายปีก่อน เขาค้อเงียบเหงา ถือเป็นช่วงซบเซาในการท่องเที่ยว
แต่คงเพราะตอนนี้คนไทยระบาดไปเที่ยวทุกที่ทั่วประเทศแล้ว แหล่งท่องเที่ยวก็ต้องค่อยๆ ปรับตัวรองรับลูกค้ากันไป

โชเฟอร์ได้พักผ่อนนอนหลับกันพอเป็นพิธีแล้ว (เย็นแล้ว) ก็ตื่นมาลุยกลับบ้านกันยาวๆ กว่าจะออกจากเพชรบูรณ์ก็มืดแล้ว แวะกินมื้อค่ำที่สระบุรี มาถึงบ้านเกือบเที่ยงคืน
เป็นอันอวสานทริปกางเต้นท์แสนสนุกที่เขาค้อและภูทับเบิกไปอย่างบริบูรณ์

วันเสาร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2553

เขาค้อ - ภูทับเบิก 2553 (ตอนที่ 2)




ถึงภูทับเบิก ตรงเข้าไปหาที่พัก เราไม่พักที่กางเต้นท์ของอบต. เพราะรถเข้าเยอะมาก รถติดตั้งแต่ทางขึ้นภู นึกว่าจะไม่รอดเสียแล้ว
ด้วยหาข้อมูลมาตั้งแต่เมื่อเช้าว่า ที่กางเต้นท์ของเอกชนที่วิวดี ก็มีของภูสวรรค์ เราก็เลยตรงตามป้ายเข้ามาอีกหน่อย ก็เจอ Heaven Hill
คนเข้ามากันจนจะล้นภูเช่นเดียวกัน เราโชคดีมากที่ได้ที่ตรงทางขึ้นพอดี ไม่ต้องไปเบียดกับคนอื่น และอยู่ตรงข้ามกับรถเราเองเลย อาจจะไม่ได้วิวกว้างแต่ก็ชิลน่าดู
กางเต้นท์เสร็จก็ตั้งเตา เตรียมของกินกันจนเย็น ค่ำ ดึก กินๆๆๆ จิบๆๆๆๆ อากาศหนาวใช้ได้ ง่วงแล้วก็เก็บของเข้านอน

เขาค้อ - ภูทับเบิก 2553 (ตอนที่ 1)




ทริปสองวันเศษๆ ไปกางเต้นท์ที่เขาค้อ
ออกเดินทางราวสี่โมงเย็นของวันเสาร์ ไปถึงเพชรบูรณ์สี่ทุ่ม กินข้าวใกล้ๆ ตีนเขาค้อ ขึ้นเขาหาที่กางเต้นท์ ที่เด่นดังผู้คนล้นหลาม (วันหยุดวันพ่อ)
สรุปได้กางที่พรสวรรค์รีสอร์ท ลงหลักปักฐานเสร็จราวเที่ยงคืนก็นั่งจิบกันจนง่วงจึงเข้านอน
ตื่นเช้ามา จุ๊บออกไอเดียไปนอนภูทับเบิกกัน เลยเก็บข้าวของ (เต้นท์หมีเป็นแบบ quick release แต่เก็บยากมากกกก กว่าจะเก็บเสร็จหมดก็เที่ยง)
ออกเดินทางไปภูทับเบิก

วันจันทร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

Chiangmai 2010 : Day 6&7




ลงจากแม่ริมแล้วก็มุ่งหน้ากลับเข้าเมือง เพื่อไปเช็คอินที่โรงแรมที่จองไว้ แต่ด้วยคำพูดของพี่ปืนที่ว่า มาเชียงใหม่แล้วต้องไปนมัสการครูบาศรีวิชัย คาปูเลยจะไปแวะนมัสการเสียหน่อย
มุ่งหน้าไปยังดอยสุเทพ หน้า ม. รถติดนิดหน่อยทั้งที่เป็นวันเสาร์ แวะกินมื้อเที่ยงที่ร้าน Boat ร้านเก่าแก่ที่เคยนิยมสุดๆ ในสมัยแม่ยังสาว เรายังเด็ก
จากนั้นก็ขึ้นไปไหว้ครูบาศรีวิชัย ขาลงมาตั้งแต่หน้า ม. รถติดอย่างไม่น่าเชื่อ ใช้เวลาพอสมควรกว่าจะกลับเข้าเมืองได้
ไปเช็คอินที่โรงแรม Born 2 Sleep แถวๆ ประตูเมืองเชียงใหม่ เลือกที่นี่เพราะเห็นมันอยู่ใกล้กับถนนคนเดินวันเสาร์ที่วัวลาย แต่ราคาก็เกือบพันเพราะโปรมันใช้ได้เฉพาะวันธรรมดา T^T
ที่พักเก๋ๆ ดี หนกขูแอร์นิดหน่อยแต่ก็ไม่นำพา ชอบการเลือกใช้วัสดุที่ควบคุมงบประมาณได้และดูไอเดียดี
นอนหลับทับตะวันกันไปจนหัวค่ำ ก็ตื่นอย่างปวดหัวๆ ไปเดินถนนคนเดิน ได้ของติดมือมานิดหน่อย
ของกินก็ไม่ได้ซื้อเลยเพราะอาการท้องเสียยังแย่อยู่ เข้าห้องน้ำเป็นว่าเล่น อดกินมันปูใส่กระดอง เศร้าๆๆๆๆ
มื้อเย็นไปนิมมานแบบสิ้นคิดอีกครั้ง แต่ตั้งใจจะกินอะไรง่ายๆ คาปูเลยกินลูกชิ้นแชมป์ ส่วนหมีกินไก่ทอดใบมะกรูดร้านข้างๆ กัน กับน้ำพริกหนุ่ม อร่อยแบบเสียวๆ (กลัวอึมากระทันหัน)
และแล้วก็มาถึงวันเดินทางกลับ ตื่นเช้ามา (ก็แปดโมงกว่านะ) หน้าโรงแรมก็ไม่มีใครอยู่ ร้านโรตีชาชักหน้าโรงแรมก็ยังไม่เปิด
เลยไปซื้อของฝากที่กาดต้นพยอม (เหมือนไกลจากที่พัก แต่เมืองเชียงใหม่นี่ ทุกที่อยู่ใกล้กันหมดจริงๆ ตลาดประตูเชียงใหม่ไม่มีที่จอดด้วย)
แต่แวะกินโจ๊กแถวสวนดอกก่อน แล้วกลับมาเช็คเอ้าท์ ร้านโรตีชาชักเปิดพอดีแต่หนูอิ่มแล้ว เลยสั่งไมโลดิบไปกินบนรถ
เสียดายเห็นเมนูโรตีเขามีเยอะมาก ทั้งคาวหวาน น่ากิน ไว้คราวหน้าค่อยไปลอง
ประมาณสิบเอ็ดโมง เดินทางออกจากเชียงใหม่กลับบ้านแบบยาวๆ ง่วงก็แวะหลับ เหนื่อยก็แวะพัก (แวะไปเกือบสิบปั๊ม) มื้อเที่ยงกินครัวเห็ดโคนแถวกำแพงเพชร
นครสวรรค์น้ำท่วมทางเลี่ยงเมือง ทำให้รถติดมากเพราะรถเล็กทุกคันต้องมาผ่านเมืองกันหมด (ส่วนเรามาทางผ่านเมืองอยู่แล้วเพราะจะไปเข้า 340)
สาย 340 พอค่ำแล้วมืดมาก เปลี่ยว น่ากลัวยิ่งนัก - - มองกระจกมองหลังไม่เห็นอะไรนอกจากความมืด ผิดกับตอนกลางวันวิ่งสบาย รถไม่เยอะ - -"
ถึงบ้านราวๆ 3 ทุ่มกว่า กินข้าวนอน
จบบริบูรณ์~

วันอาทิตย์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

Chiangmai 2010 : Day 6




ในที่สุดวันแห่งอิสรภาพก็มาถึง นับเป็นวันเดียวในทริปนี้ที่จะได้เที่ยวเองเต็มวัน T_T
หมีวางแผนเดินทางขึ้นเส้นสะเมิงแล้ววิ่งลงแม่ริม ง่ายๆ ตอนบ่ายค่อยกลับมาเช็คอินเข้าที่พักใหม่ (ที่เลือกเอง) และพักผ่อนสบายๆ
ตื่นเช้าก็ออกเดินทางไปเส้นสะเมิง งงๆ เล็กน้อยก็คอยถามทางเอา ในที่สุดก็เข้าเส้นสะเมิงจนได้ อากาศเย็นๆ และโชคดีที่ฝนไม่ตกอีก ทิวทัศน์รายทางเขียวครึ้มสวยงามแสนสุขใจ
แวะกินเข้าเช้าที่ตลาดสดสะเมิงใต้ แล้วมั่วๆ ทางไปต่อ
ที่จริงแค่ตั้งใจจะหาจุดชมวิวป่าสะเมิง แต่มาจนจะถึงเลี้ยวไปแม่ริมแล้วก็ยังไม่เจอ เข้าใจ (ไปเอง) ว่าอาจจะอยู่ใน อช. ขุนขาน
เลยให้คาปูขับผ่านถนนห่วยๆ เข้าไปจนถึงอช. จึงพบว่าจุดชมวิวไม่ได้อยู่ที่นี่ T^T (ไม่ได้หาข้อมูลมาให้ดี)
ตัดใจขับออกจากสะเมิง มุ่งหน้าแม่ริม เลี้ยวไปทางแม่ริมไม่นานจึงพบกับจุดชมวิว - -? ชมวิว ถ่ายรูปกันสักพักก็ขึ้นรถต่อไปยังสวนพฤกษศาสตร์ฯ ดูพืช ดูนั่นนี่ และพบว่าหมีกำลังท้องเสียขนาดหนัก เริ่มท้องเสียหลังกินเนื้อย่างเมื่อคืน แต่ปวดท้องมาก่อนนั้นหลายวันแล้ว สรุปก็ไม่รู้ว่าต้นเหตุคืออะไรกันแน่ - -

Chiangmai 2010 : Day 5




วันนี้ไปถ่ายกันเองโดยไม่มีอาจารย์คุมอีกวัน ตอนเช้าฝนตกไม่หยุด ขับรถไปติดต่อตามวัด สองวัด เจ้าอาวาสก็ไม่สะดวกทั้งคู่ สรุปวันนี้เลยไม่ได้ถ่าย
พอดีวัดที่ไปติดต่ออยู่แถวเวียงกุมกาม เลยแวะชม แล้วมานั่งจิบกาแฟดอยช้างฝั่งตรงข้าม โลเกชั่นร้านเขาดีจริงๆ เสียที่วันนี้แฉะไปหน่อย และมีการก่อสร้างเขื่อนริมน้ำอยู่
ตอนเที่ยงกินข้าวซอยลำดวนสาขาใหม่ ร้านสวยงาม อยู่บนเส้นซุปเปอร์ไฮเวย์ แต่เราชอบข้าวซอยเสมอใจมากกว่าอะ ลำดวนมันจืดกว่า (ทั้งที่นี่และที่ฟ้าฮ่าม)
กลับไปแถวที่พัก แวะสุริวงศ์บุ๊คเซนเตอร์ เพราะพี่ต๊ะอยากได้หนังสือที่ไม่มีขายที่ร้านอื่นๆ ลองเข้าไปที่นี่เขามีหนังสือที่ไม่เห็นตามร้านที่กรุงเทพฯเยอะจริงๆ น่าสนใจทั้งนั้น ถ้าไปอีกจะไปหอบหนังสือมาอ่าน (ตอนแก่?)
แล้วก็ไปที่สำนักฝรั่งเศสแห่งปลายบูรพาทิศ ซึ่งตั้งอยู่ตรงข้ามที่พักเรานั่นเอง เพราะเขาเพิ่งต่อเติมอาคาร ทำห้องสมุดใหม่
เพิ่งเคยเข้าไป สวยงามน่าอยู่มาก พื้นที่อยู่ติดริมแม่น้ำปิง มีพืชพรรณดึกดำบรรพ์เขียวชะอุ่มร่มเย็น ปกคลุมเรือนไม้โบราณ และอาคารใหม่ที่กำลังตกแต่งภายใน ออกแบบให้สอดคล้องกับอาคารหลังเดิม
มื้อค่ำพากันคลำทางกับคาปูฯ ไปร้านเนื้อย่างบุฟเฟ่ต์ ซูซุรัน แต่สั่งมาแค่ถาดใหญ่ถาดเดียวก็จอดแล้ว ถ้าไม่กินชูชกจริงๆ สั่งอะลาคาร์ทน่าจะคุ้มกว่า
ร้านดูโทรมๆ ป้ายเงื่อนไขติดเต็มร้าน กินเสร็จคลานออกมาและตั้งใจว่าจะงดบุฟเฟ่ต์ไปอีกยาวๆ (คิดแบบนี้ทุกครั้งที่กินบุฟเสร็จ)

Chiangmai 2010 : Day 3&4




วันนี้โยกไปวัดวาลุการาม (ป่าแงะ) ที่อำเภอดอยสะเก็ด ที่นี่ใบลานเยอะ ถ่ายๆๆๆๆ ทั้งวัน จนถึงเย็น
มื้อค่ำพี่ปืน&คุณอัน พาไปร้านอาหารญี่ปุ่นแถวถนนศรีดอนไชย เข้าทางโรงแรมมณีนาราคร ชื่อเหมือนร้านอุด้งในเครือโออิชิ แต่ไม่ใช่ เป็นร้านอาหารญี่ปุ่นสไตล์ง่ายๆ บ้านๆ เมนูเยอะ คุณอันสั่งแหลก กินกันพุงกางไป
วันรุ่งขึ้นก็ยังคงไปทำงานที่วัดวาลุการามเช่นเดิม เพราะยังมีตำนานที่ยังไม่ได้ถ่ายอีกพอสมควร ถ่ายจนถึงเย็นกลับมาที่พัก
ตกค่ำก็พากันคลำทางไปกับคาปูชิน สู่ถนนนิมมานฯ (อย่างไม่มีเป้าหมาย) เจอร้านสลัดคอนเซ็ปท์ที่หลายคนบอกว่ากำลังฮิตที่นี่พอดี
เลยเข้าไปกิน แต่ปรากฏว่ามันมีแต่เมนูสลัดๆๆๆๆ และของหวาน + สมูธตี้ ไม่สามารถเติมเต็มกระเพาะคาปูฯได้ สลัดเขาก็ชามใหญ่โตดี สมูธตี้ก็อร่อยดี
ไปต่อกันที่ Brasserie ที่เล็งมาหลายรอบแต่ไม่ได้ไปซะที ในที่สุดก็ได้มา คนน้อย อาจเพราะเป็นช่วงกลางสัปดาห์ ส่วนใหญ่เป็นฝรั่ง
เราก็สั่งของกิน + ฟังเพลงไป ช่วงแรกเป็นอะคูสติกคัฟเวอร์ ร้องมั่วๆ หน่อยแต่เล่นดีร้องดี เอาเพลงมาทำเป็นสไตล์ของตัวเอง
สี่ทุ่ม (ครึ่ง?) วงก็ขึ้นเล่น แต่เรานั่งอยู่ข้างนอกเลยเสียงเบา (ช่วงอะคูสติกเขาเปิดลำโพงออกมาข้างนอกเสียงใสดีมาก)
ตุ๊ก บราสเซอรี่ ฉายา เฮนดริกซ์แห่งลุ่มน้ำปิง วันนี้เท่าที่ฟังออกแนวแคลปตัน แต่ไม่ได้อยู่ฟังจนจบเพราะประตูเกสท์เฮ้าส์ปิดเที่ยงคืน เด่วเอารถเข้าไม่ได้
ปรากฏว่ากลับไปถึง 5 ทุ่มครึ่ง เจ้าหน้าที่ปิดประตูแล้ว นอนกางมุ้งอยู่หน้าเคาน์เตอร์ ต้องปลุกให้มาเปิดประตูซะงั้น - -

วันศุกร์ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

Chiangmai 2010 : Day 1&2




ไปปฏิบัติภารกิจที่เชียงใหม่มา เดินทาง 2 วัน ทำงาน 4 วัน เที่ยว 1 วัน T^T
วันแรก ออกเดินทางจากตลิ่งชันมุ่งหน้าไปทางบางบัวทอง เข้าเส้น 340 ผ่านสุพรรณบุรี - อุทัยธานี
แยกเข้าเส้นหมายเลข 1 นครสวรรค์ - กำแพงเพชร - ตาก - ลำปาง - เชียงใหม่
รถติดอยู่สองที ตอนข้ามสะพานเดชาติวงศ์เข้าเมืองคอนหวัน (น้ำท่วม) กับอีกที ตอนจะเข้าเชียงใหม่ อันนี้ติดโคตร คาปูชินถึงกับเครียดไข้จับไปสองวันเต็มๆ

วันที่สอง เริ่มงานถ่ายใบลานที่วัดศรีเกิด ณ สันป่าตอง ปรากฏว่าหาทั้งวันได้ตำนานแค่ผูกเดียวเล็กๆ เลยนั่งๆ นอนๆ ไม่ได้ทำไรทั้งวัน T^T
ตอนเย็น พี่ปืน ผู้ทรงภูมิและเจนจัดในพื้นที่ของคณะเรา พาไปกินที่ร้าน เนตรดวงดาว ภัตตาคารซาดิสซ์ แถวๆ ไม่ไกลที่พัก

อุปกรณ์ ixus 100is ป๊อกแป๊ก

วันเสาร์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2553

Singapore 2010 (วันที่ 3)




ตื่นมา ไปเดินสำรวจแถวราฟเฟิลส์ กิน Toastbox ฝนตกแหมะๆ แล้วไปออเฉิด โกยของก่อนกลับบ้าน โดยสวัสดิภาพ

เป็นอีกครั้งที่สิงคโปร์ยังคงทำให้เรารู้สึกดี :D

วันพุธที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2553

Singapore 2010 (วันที่ 2 - ภาค 2)




จากไชน่าทาวน์เราก็ยักย้ายไปหามื้อเที่ยง ที่เล็งข้างมันไก่เจ้าดัง เทียน เทียน ที่ Maxwell foodcourt คิวยาวสมคำร่ำลือ
หลังจากอิ่มหนำ (มาก) แล้วก็พุ่งตรงไป Vivo ข้ามไปยังเกาะเซนโตซ่า เพื่อสำรวจ (เฉยๆ)
เย็นย่ำก็ข้ามกลับมา ไป Henderson Wave Bridge
ก่อนจะกลับรังเกย์ไปกินโจ๊กขากบตามแผนการณ์

วันอังคารที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2553

Singapore 2010 (วันที่ 2 - ภาค 1)




วันนี้มีแผนไปไชน่าทาวน์ เซนโตซ่า แล้วกลับมาสะพานคลื่น ปิดท้ายด้วยโจ๊กขากบ~

วันอาทิตย์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2553

Singapore 2010 (วันที่ 1)




29 Jul - 1 Aug 2010
รวมก๊วนลิงโบราณ แม่นางเปิ้ล และโยคีขี่รุ้ง เอ้ย เจ็ทสตาร์ ตะลุยสิงคโปร์ (ครั้งที่ 5 แว้ว 555+)

วันพฤหัสบดีที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2553

Krabi 2010 : Day 3




ตั้งใจจะตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อมิให้เสียเวลาเที่ยว แต่สุดท้ายก็เลทไปสองชั่วโมง
อาบน้ำอาบท่า เก็บของรอเรียบร้อย ให้คาปูลิงไปสอบถามเรื่องเช่ามอไซ เพราะหมีอยากไปท่าปอม
คุยเสร็จก็ไปกินอาหารเช้าโรงแรมกัน แล้วกลับมาเก็บของไปเช็คเอ้าท์รอ ฝากกระเป๋าไว้ที่รีเซพชั่น ให้พนักงานแนะนำเส้นทางให้
โชคดีมีพนักงานที่บ้านอยู่ท่าปอม จึงเขียนแผนที่เส้นทางที่ดูไม่ยากนักให้ พร้อมให้นามบัตรเผื่อหลงทางโทรถาม

จากนั้นก็บึ่งมอไซไปตามทางในแผนที่ มีงงบ้างเล็กน้อยแต่โดยรวมก็ราบรื่นดี แดดแรงจ้าแผดเผาผิวอย่างโหดเหี้ยม (โง่เองไม่มีอะไรกันแดด)

ในที่สุดเราก็มาถึงท่าปอม คลองสองน้ำอันลึกลับ เข้าห้องน้ำล้างหน้าล้างแขนขาก่อนเป็นอันดับแรก (เพราะนั่งมอไซร้อนมาก) ห้องน้ำใหม่ทันสมัย แต่ไม่มีคนมาใช้เท่าไหร่
เดินไปซื้อตั๋ว ได้ยินมาว่าคนละ 50 บาท ไปจริงๆ เขาคิดแค่ 10 บาท o_O? เอาเครื่องดื่มเข้าไปไม่ได้ ต้องฝากไว้ข้างหน้า
มาถึงท่าปอมสายไปหน่อย น้ำลด แต่ก็ยังเขียวสดงดงาม มีวัยรุ่นท้องถิ่นมาเล่นน้ำดับร้อนกันจำนวนหนึ่ง ที่นี่เขากันเขตเล่นน้ำไว้เฉพาะด้านหน้า (น้ำจะไม่ค่อยใส)
เส้นทางเดินค่อนข้างสั้น จึงไม่ได้ใช้เวลามากนัก หมดไปกับการถ่ายรูปมากกว่า พอออกมาจากท่าปอม เดินทางกลับ
เห็นป้ายเอาท์เล็ทวิลเลจ อยากดูว่าเป็นยังไง เลยเกณฑ์ลิงให้ขี่ไปตามป้าย ปรากฏว่าทางไปแดดร้อนมากๆๆๆๆ ไปถึงแล้วก็ไม่มีอะไร
นึกว่าเป็นช็อปแยกๆ กัน แต่ดันเหมือนดีพาร์ทเม้นท์สโตร์มากกว่า จึงกลับออกมาอย่างรวดเร็ว
บึ่งมอไซกลับมาตามทางเดิม + มั่วเล็กน้อย แต่ก็มาทะลุอ่าวนางได้

เราตรงไปอ่าวนพรัตน์ คาปูเซ็งแดดเผาตัวเกรียมเลยไม่ได้ทำไร กินข้าวที่ร้าน ครัวธารา (ได้คำแนะนำมาจากบลูแพลเน็ท + ที่โรงแรม)
อร่อยดี ราคาเลือดซิบไม่แพ้ร้านอื่นในอ่าวนาง กินเสร็จก็กลับโรงแรม มีเวลาอีกเล็กน้อยก่อนรถ (ที่เราไปจอยลูกค้าคนอื่นของโรงแรม) จะมารับไปขนส่ง
เลยไปว่ายน้ำให้ตัวเย็นแว้บนึง แต่งตัวเสร็จก็รถมาพอดี แวะซื้อของฝากที่ร้านศรีกระบี่ ไปถึงขนส่ง ขึ้นรถ 24 ที่นั่งของบขส. รอบห้าโมงเย็น
มาถึงกรุงเทพฯ ราวๆ ตีสี่เศษ เป็นอันจบทริปแสนสั้น ฮือๆๆๆ ...อยากเที่ยวต่อง่ะ... T^T