วันพฤหัสบดีที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2553

Krabi 2010 : Day 3




ตั้งใจจะตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อมิให้เสียเวลาเที่ยว แต่สุดท้ายก็เลทไปสองชั่วโมง
อาบน้ำอาบท่า เก็บของรอเรียบร้อย ให้คาปูลิงไปสอบถามเรื่องเช่ามอไซ เพราะหมีอยากไปท่าปอม
คุยเสร็จก็ไปกินอาหารเช้าโรงแรมกัน แล้วกลับมาเก็บของไปเช็คเอ้าท์รอ ฝากกระเป๋าไว้ที่รีเซพชั่น ให้พนักงานแนะนำเส้นทางให้
โชคดีมีพนักงานที่บ้านอยู่ท่าปอม จึงเขียนแผนที่เส้นทางที่ดูไม่ยากนักให้ พร้อมให้นามบัตรเผื่อหลงทางโทรถาม

จากนั้นก็บึ่งมอไซไปตามทางในแผนที่ มีงงบ้างเล็กน้อยแต่โดยรวมก็ราบรื่นดี แดดแรงจ้าแผดเผาผิวอย่างโหดเหี้ยม (โง่เองไม่มีอะไรกันแดด)

ในที่สุดเราก็มาถึงท่าปอม คลองสองน้ำอันลึกลับ เข้าห้องน้ำล้างหน้าล้างแขนขาก่อนเป็นอันดับแรก (เพราะนั่งมอไซร้อนมาก) ห้องน้ำใหม่ทันสมัย แต่ไม่มีคนมาใช้เท่าไหร่
เดินไปซื้อตั๋ว ได้ยินมาว่าคนละ 50 บาท ไปจริงๆ เขาคิดแค่ 10 บาท o_O? เอาเครื่องดื่มเข้าไปไม่ได้ ต้องฝากไว้ข้างหน้า
มาถึงท่าปอมสายไปหน่อย น้ำลด แต่ก็ยังเขียวสดงดงาม มีวัยรุ่นท้องถิ่นมาเล่นน้ำดับร้อนกันจำนวนหนึ่ง ที่นี่เขากันเขตเล่นน้ำไว้เฉพาะด้านหน้า (น้ำจะไม่ค่อยใส)
เส้นทางเดินค่อนข้างสั้น จึงไม่ได้ใช้เวลามากนัก หมดไปกับการถ่ายรูปมากกว่า พอออกมาจากท่าปอม เดินทางกลับ
เห็นป้ายเอาท์เล็ทวิลเลจ อยากดูว่าเป็นยังไง เลยเกณฑ์ลิงให้ขี่ไปตามป้าย ปรากฏว่าทางไปแดดร้อนมากๆๆๆๆ ไปถึงแล้วก็ไม่มีอะไร
นึกว่าเป็นช็อปแยกๆ กัน แต่ดันเหมือนดีพาร์ทเม้นท์สโตร์มากกว่า จึงกลับออกมาอย่างรวดเร็ว
บึ่งมอไซกลับมาตามทางเดิม + มั่วเล็กน้อย แต่ก็มาทะลุอ่าวนางได้

เราตรงไปอ่าวนพรัตน์ คาปูเซ็งแดดเผาตัวเกรียมเลยไม่ได้ทำไร กินข้าวที่ร้าน ครัวธารา (ได้คำแนะนำมาจากบลูแพลเน็ท + ที่โรงแรม)
อร่อยดี ราคาเลือดซิบไม่แพ้ร้านอื่นในอ่าวนาง กินเสร็จก็กลับโรงแรม มีเวลาอีกเล็กน้อยก่อนรถ (ที่เราไปจอยลูกค้าคนอื่นของโรงแรม) จะมารับไปขนส่ง
เลยไปว่ายน้ำให้ตัวเย็นแว้บนึง แต่งตัวเสร็จก็รถมาพอดี แวะซื้อของฝากที่ร้านศรีกระบี่ ไปถึงขนส่ง ขึ้นรถ 24 ที่นั่งของบขส. รอบห้าโมงเย็น
มาถึงกรุงเทพฯ ราวๆ ตีสี่เศษ เป็นอันจบทริปแสนสั้น ฮือๆๆๆ ...อยากเที่ยวต่อง่ะ... T^T